องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกได้ทำงานร่วมกับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องเพื่อเรียกร้องให้ภาคธุรกิจร่วมปรับปรุง สวัสดิภาพหมูในฟาร์ม ภายใต้โครงการเลี้ยงหมูด้วยใจ (Raise Pigs Right) ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจาก ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต และเทสโก้ โลตัส โดยเมื่อ เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2561 ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ตได้ประกาศที่จะยุติการจำหน่ายเนื้อหมูที่มาจากการขังแม่หมูภายในปี พ.ศ. 2570 และช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เทสโก้ โลตัส ได้ประกาศว่า เนื้อหมูแบบบรรจุแพ็คทั้งหมดที่วางจำหน่ายจะมาจากแม่หมูที่เลี้ยงแบบรวมกลุ่ม แทนการเลี้ยงแบบยืนซองภายในปีพ.ศ. 2570 โดยการประกาศของ สองห้างค้าปลีกใหญ่ของไทยนี้ นับว่าเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของทั้งผู้บริโภคและองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ที่ต้องการเห็นการพัฒนาสวัสดิภาพหมูในฟาร์มอุตสาหกรรมและเพื่อเนื้อสัตว์ที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นก้าวย่างที่สำคัญในการทำให้แม่หมูนับล้านตัวในประเทศไทยที่กำลังจะมีชีวิตที่ดีขึ้น แม่หมูสามในสี่ทั่วโลกใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่ในกรงขังแคบๆซึ่งมีขนาดไม่ต่างจากตู้เย็นขนาดมาตรฐาน พวกมันขยับหรือแม้แต่จะกลับตัวยังไม่ได้ ทำหน้าที่เป็นเพียงเครื่องจักรในการขยายพันธุ์ วิธีการเลี้ยงเช่นนี้ได้สร้างความทรมานให้กับแม่หมูเป็นอย่างมาก แต่แม่หมูในประเทศไทยบางส่วนกำลังจะมีชีวิตที่ดีขึ้น พวกมันจะมีพื้นที่ได้เคลื่อนไหว เข้าสังคมกับหมูตัวอื่นๆและได้แสดงออกพฤติกรรมตามธรรมชาติ ผ่านวิธีการเลี้ยงแบบรวมกลุ่ม การพัฒนาสวัสดิภาพหมูในฟาร์มอุตสาหกรรม ไม่เพียงแต่จะทำให้หมูมีชีวิตที่ดีขึ้นแต่ยังหมายรวมถึงสุขภาพที่ดีของผู้บริโภคด้วย เพราะเมื่อหมูมีสุขภาพที่ดี อัตราเสี่ยงต่อความเจ็บป่วยก็น้อยลง ทำให้ฟาร์มอุตสาหกรรมไม่มีความจำเป็นในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างมหาศาลเหมือนในปัจจุบัน เพื่อป้องกันอาการเจ็บป่วยของหมู ส่งผลให้ผู้บริโภคเองได้รับประทานเนื้อสัตว์ที่มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ลดการเกิดเชื้อซุปเปอร์บั๊กส์ (Superbugs) หรือ แบคทีเรียที่มีฤทธิ์ต่อต้านยาปฏิชีวนะ ซึ่งเชื้อซุปเปอร์บั๊กส์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของมนุษย์ รวมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ตลอดเวลาที่ผ่านมาองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ไม่นิ่งนอนใจ พร้อมยังจับตาความก้าวหน้าต่อเนื่อง ด้วยการจัดแคมเปญเพื่อรณรงค์อย่างต่อเนื่องในโครงการเลี้ยงหมูด้วยใจ ผ่านสื่อต่างๆ ที่หลากหลาย ส่งผลให้เกิดแนวโน้มและความต้องการในการบริโภคเนื้อหมูที่มาจากฟาร์มที่ส่งเสริมสวัสดิภาพเพิ่มมากขึ้น โดยมีผู้บริโภคร่วมลงชื่อสนับสนุนโครงการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการแชร์และแสดงความคิดในวงกว้าง ซึ่งกระแสที่ผู้บริโภคให้ความสนใจและติดตามความคืบหน้าในการปรับปรุงสวัสดิภาพสัตว์ฟาร์ม ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงของการดำเนินธุรกิจในอนาคตของห้างค้าปลีกต่างๆ ในไทย แม้ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่บางแห่งได้มีการเปลี่ยนผ่านสู่เจ้าของธุรกิจรายใหม่ แต่องค์กรฯ หวังว่าห้างค้าปลีกชั้นนำแห่งนั้นจะยังสานต่อนโยบายด้านสวัสดิภาพสัตว์ผ่านพันธสัญญาต่อผู้บริโภค ด้วยกระแสทั่วโลกที่มีความใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อม อีกทั้งความกังวลในเรื่องโรคโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพยิ่งขึ้น ทางองค์กรฯ พร้อมที่จะนำเสนอข้อมูล องค์ความรู้ต่างๆ และแผนการดำเนินงานที่คำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์ ตลอดจนใส่ใจถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเสนอเพิ่มเติมต่อภาคธุรกิจอื่นๆ ที่ต้องการคำแนะนำในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตหมู เพราะความรับผิดชอบต่อสุขภาพของผู้บริโภค เป็นภารกิจสำคัญของการดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบัน นายโชคดี สมิทธิ์กิตติผล ผู้จัดการแคมเปญสัตว์ฟาร์ม องค์การพิทักษ์สัตว์แห่งโลก กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ห้างค้าปลีกทั้งสองแห่งได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการให้คำมั่นสัญญาต่อผู้บริโภคเพื่อพัฒนาชีวิตหมูในฟาร์มและเพื่ออาหารที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้นต่อผู้บริโภค นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่เราอยากให้ห้างค้าปลีกอื่นปฏิบัติตาม โดยเราจะทำการรณรงค์เรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง” เดือนสิงหาคมนอกจากจะเป็นเดือนที่ ผู้บริโภคและองค์กรฯ ได้ร่วมแสดงความยินดีกับจุดเริ่มต้นในการพัฒนาสวัสดิภาพแม่หมู แต่ก็ยังคงเป็นช่วงเวลาที่ผู้บริโภคต้องการทราบความคืบหน้าในการดำเนินงานจากห้างค้าปลีกทั้งสองแห่งตามคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้อีกด้วย นายโชคดี กล่าวย้ำว่า “เราอยากให้ห้างค้าปลีกทั้งสองแห่งเปิดเผยข้อมูลความคืบหน้าในการดำเนินงานต่อสาธารณะ เพื่อแสดงความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค โดยเรายินดีที่จะให้การสนับสนุนในเชิงเทคนิค เพื่อให้มั่นใจว่าห้างค้าปลีกทั้งสองแห่งจะสามารถบรรลุคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ต่อผู้บริโภคได้” องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ขอชวนร่วมลงชื่อ ได้ที่ www.worldanimalprotection.or.th/mutilation/Raise-Pigs-Right เพื่อเรียกร้องไปยังผู้ผลิต ห้างค้าปลีก และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้หยุดการทรมานสัตว์โดยการพัฒนาสวัสดิภาพสัตว์ในฟาร์ม เพื่อสัตว์ทุกตัว เพื่อเราทุกคน