สสว. ร่วมกับ ECBER จัดสัมมนา “พลิกวิกฤติ พิชิตโอกาส: SMEs ผงาดในตลาด รัสเซีย มาเลเซีย เมียนมา & กัมพูชา” ชี้ช่องทางและโอกาส SMEs ไทย บุกตลาดส่งออก รัสเซีย มาเลเซีย เมียนมา และ กัมพูชา” ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว. ร่วมกับ ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน (ECBER) มหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดงานสัมมนา พลิกวิกฤติ พิชิตโอกาส: SMEs ผงาดในตลาด รัสเซีย มาเลเซีย เมียนมา & กัมพูชา” เพื่อเปิดให้ผู้ประกอบการไทยที่สนใจรับฟังประสบการณ์ตรงจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในตลาดรัสเซีย มาเลเซีย เมียนมา และกัมพูชา ได้เรียนรู้การสร้างเครือข่ายธุรกิจการทดสอบตลาดสินค้า รวมถึงการให้คำปรึกษาทางธุรกิจ Business Consulting กับผู้ประกอบการรายบุคคลจากผู้เชี่ยวชาญ และการให้ความรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์ เคล็ดลับการบุกตลาดอย่างไรให้ประสบความสำเร็จในการสร้างเครือข่ายธุรกิจในต่างประเทศ การจัดสัมมนาครั้งนี้ สืบเนื่องมาจาก สสว. ได้ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน +8 ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มากกว่า 3,400 ล้านคน จึงเป็นตลาดที่น่าจับตาสำหรับ SMEs ไทย สำหรับตลาดส่งออกของกลุ่มสินค้าเป้าหมาย SMEs ไทย ประเภทกลุ่มอาหารเครื่องดื่ม และบริการ เป็นกลุ่มสินค้าที่สำคัญของไทย ทั้งในแง่ของการผลิต การส่งออก และการบริการ โดยในเดือนมกราคมปี 2563 ที่ผ่านมา พบว่าประเทศไทยมีการส่งออกมูลค่ากว่า 587,494.39 ล้านบาท ทำให้มูลค่าการส่งออกไทยในเดือนมกราคมมีการขยายตัวมากในรอบ 6 เดือน ถึง 3.3% เมื่อพิจารณามูลค่าการนำเข้าสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มของประเทศ +8 (อาเซียน 10 ประเทศ และ อินเดีย รัสเซีย จีน เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อเมริกา) พบว่า ตลาดหลัก (Matured Market) สูงที่สุด คือ สหรัฐฯ (17,856 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) รองลงมาคือ จีน (10,797 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) ญี่ปุ่น (6,190 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) อินเดีย (2,842 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) และรัสเซีย (1,722 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) และจากข้อมูล พบว่า ข้อมูลประกอบด้าน GDP ปี 2018 ใน 5 ลำดับแรก ถือว่าเป็นขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก และยังเป็นประเทศที่มีแนวโน้มของขนาดเศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่องและชัดเจนตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา ตามลำดับ ส่วนตลาดศักยภาพสูง (Dynamic Market) ในกลุ่มประเทศอาเซียนที่นำเข้ามากที่สุด คือ อินโดนีเซีย (1,147 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) รองลงมา คือ ไทย (442 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) มาเลเซีย (382 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) สิงคโปร์ (310 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) และฟิลิปปินส์ (303 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ)และกลุ่มประเทศ CLMV (2,612.7พันล้านเหรียญสหรัฐ) ตามลำดับ ส่วนกลุ่มยาสมุนไพรและเครื่องสำอางเป็นสาขาที่ได้รับความสนใจจากชาวรัสเซียเป็นจำนวนมากในขณะนี้ โดยส่วนใหญ่ชาวรัสเซียจะคัดเลือกสินค้าที่เป็นที่นิยมในประเทศไทยและดำเนินการด้านการนำเข้าไปขายที่รัสเซียด้วยตนเอง ซึ่งยังมีโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ของไทยในการขยายสินค้าในกลุ่มนี้ไปยังประเทศรัสเซียและในประเทศอาเซียนอื่นด้วย โดยในปี 2563 ประเทศมาเลเซีย มีการนำเข้าสินค้าในกลุ่มนี้มูลค่าถึง 1,813 พันล้านเหรียญสหรัฐฯการจัดสัมมนา “พลิกวิกฤติ พิชิตโอกาส: SMEs ผงาดในตลาด รัสเซีย มาเลเซีย เมียนมา & กัมพูชา” จัดขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 4 ภูมิภาค ของประเทศไทย โดยผู้เข้าอบรมจะได้รับฟังแนวทางการดำเนินธุรกิจและประสบการณ์ตรงจากผู้เชี่ยวชาญในตลาดรัสเซีย มาเลเซีย เมียนมา และกัมพูชา เพื่อช่วยแนะนำลู่ทาง โอกาส และการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาด ทั้ง 4 ดังกล่าว ตามความเหมาะสมในแต่ละภาค อีกทั้งผู้ประกอบการยังได้เรียนรู้การสร้าง Business Networking และการทดสอบตลาด จากคู่มือที่แจกในงานสัมมนา นอกจากนี้ ยังมีการให้คำปรึกษาทางธุรกิจ Business Consultingกับผู้ประกอบการรายบุคคล ในรูปแบบ Private group สำหรับการสัมมนาครั้งแรกเป็นการเจาะลึกตลาดรัสเซียและมาเลเซีย ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่มีประชากรกว่า 144 ล้านคน และกว่า 32 ล้านคนตามลำดับ และจากข้อมูล GDP ปี 2562 พบว่า รัสเซีย มี GDP 1,722 พันล้านเหรียญสหรัฐ แม้มาเลเซียจะมี 382 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่มาเลเซียก็ถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มอาเซียนที่เศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและเห็นได้ชัดเจนตลอด 10 ปี จึงถือเป็นตลาดที่น่าจับตาสำหรับ SMEs ไทย สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมการสัมมนาในครั้งถัดไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หมายเลขโทรศัพท์ 084-2316705 หรือ e-mail : ecber.kku@gmail.com และสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานสัมมนาฯ ได้ที่:https://drive.google.com/drive/folders/1Q_hAUycVm_meSfZwdrWTwpLIUQ_uX17phttps://forms.gle/EHNy1V1H4AwTj3b47 https://forms.gle/5ugupSji26ySvJ5z7