จุรินทร์ สั่งกรมการค้าภายใน เร่งหามาตรการในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวอย่างเร่งด่วน
จุรินทร์ สั่งกรมการค้าภายใน เร่งหามาตรการในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวอย่างเร่งด่วน
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม รองอธิบดี รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการค้าภายใน ,นางสาวพัชรี พยัควงษ์ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน ,ผู้บริหารกรมการค้าภายในพร้อมด้วย เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียว ,สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย ,สมาคมภัตตาคารไทย
เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเพื่อ ประชาสัมพันธ์กิจกรรมรณรงค์และส่งเสริมการบริโภคข้าวเหนียว พร้อมนำชมนิทรรศการผลิตภัณฑ์สินค้าและอาหารมรดกภูมิปัญญาไทยที่มีวัตถุดิบจากข้าวเหนียว
โดยนายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม รองอธิบดีรักษาราชการแทนอธิบดีกรมการค้าภายในกล่าวว่า จากสถานการณ์ราคาข้าวเปลือกเหนียวที่เริ่มปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน 2563 ที่ผ่านมา ประกอบกับผลผลิตข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 ที่กำลังจะออกสู่ตลาดตั้งแต่ช่วงปลายเดือนตุลาคม 2563 เป็นต้นไป บวกกับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทำให้ปริมาณการบริโภคในประเทศลดลง ซึ่งส่งผลให้ราคาข้าวเหนียวมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง กระทบต่อรายได้ของพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวเป็นอย่างมาก
โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีความห่วงใยพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ จึงได้มีข้อสั่งการให้กรมการค้าภายใน เร่งดำเนินการหามาตรการในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวอย่างเร่งด่วน โดยกรมการค้าภายในร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชื่อมโยงการรับซื้อข้าวเปลือกเหนียวทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ดังนี้ ต้นน้ำ : กรมส่งเสริมสหกรณ์ จัดหาสหกรณ์ที่มีความพร้อม ในการรวบรวมข้าวเปลือกเหนียวในพื้นที่ที่เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน จำนวน 13 แห่ง ในพื้นที่ภาคเหนือ 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย น่าน พะเยา แพร่ และลำพูน กลางน้ำ : กรมการค้าภายใน ประสานผู้ประกอบการโรงสี เชื่อมโยงกับผู้ประกอบการโรงสีต่างพื้นที่ โดยกรมการค้าภายในจะสนับสนุนค่าบริหารจัดการในการรวบรวมข้าวเปลือกเหนียวผ่านผู้เชื่อมโยงในอัตราตันละ 500 บาทระยะเวลาดำเนินการรับซื้อ เดือนตุลาคม – พฤศจิกายน 2561 ส่วนปลายน้ำ : กรมการค้าภายใน ได้ดำเนินการ (1) เชื่อมโยงห้างสรรพสินค้า Modern Trade จัดสรรพื้นที่วางจำหน่ายข้าวเหนียวจากโรงสีรับซื้อข้าวเหนียวตามโครงการเป็นกรณีพิเศษ (2) เชื่อมโยงการรับซื้อข้าวเหนียวระหว่างสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย กับสมาคมภัตตาคารไทยและผู้ประกอบการร้านอาหาร กว่า 1,000 ตัน (3) ขอความร่วมมือผู้ใช้ข้าวเหนียวเป็นวัตถุดิบ เช่น โรงงานผลิตสุรา โรงงานแป้งข้าวเหนียว รับซื้อข้าวเหนียวเพิ่มขึ้น ปริมาณกว่า 1,200 ตัน (4) ขอความร่วมมือสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย รับซื้อข้าวเหนียวจากโรงสีในราคาที่เหมาะสม ทั้งนี้ ขอความร่วมมือ ธ.ก.ส. เป็นผู้สนับสนุนดอกเบี้ยต่ำแก่สหกรณ์และสหกรณ์การเกษตร ผ่านโครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทย หรือ โครงการสินเชื่อล้านละร้อย (อัตราดอกเบี้ย 0.01 ต่อปี) และโครงการ SME เกษตร (อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี)ส่งผลให้มีการแข่งขันรับซื้อในพื้นที่ราคารับซื้อข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดคละ (ความชื้นไม่เกิน 15%) ปรับตัวสูงขึ้นจากตันละ 9,500 – 9,800 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นตันละ 10,000 – 10,500 บาท ราคารับซื้อข้าวเปลือกเหนียวเกี่ยวสดความชื้น 30% ปรับตัวสูงขึ้นจากตันละ 6,000 – 6,500 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นตันละ 7,500 – 7,700 บาท
ขณะเดียวกันยังได้เร่งจัดโครงการรณรงค์บริโภคข้าวเหนียว ประชาสัมพันธ์เชิงรุก สร้างการรับรู้คุณประโยชน์ และส่งเสริมการบริโภคข้าวเหนียว เพื่อกระตุ้นและสร้างความต้องการบริโภค ตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2563 จนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2563 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกเหนียวในตลาดมีเสถียรภาพ เกษตรกรสามารถจำหน่ายข้าวได้ในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น