ทีมเศรษฐกิจทันสมัย นําทุกภาคส่วนระดมสมอง เช็คเสียงไทยมีความพร้อมเลือกวิธีเปิดประเทศอย่างรอบคอบภายใต้เงื่อนไขการ์ดไม่ตก

ทีมเศรษฐกิจทันสมัย นําทุกภาคส่วนระดมสมอง เช็คเสียงไทยมีความพร้อมเลือกวิธีเปิดประเทศอย่างรอบคอบภายใต้เงื่อนไขการ์ดไม่ตก เพื่อเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ “เปิดประเทศ เปิดโอกาส Next Normal”

(10 ธ.ค.2563) เมื่อเร็วๆ นี้ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัยพรรคประชาธิปัตย์ จัดงานเสวนาระดมสมองเชิงปฏิบัติการณ์ ในหัวข้อ “เปิดประเทศ เปิดโอกาส Next Normal : เตรียมพร้อมอย่างไร!?” โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิจากทุกภาคส่วน อาทิ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงสาธารณสุข พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ผอ.ศบค ดร. คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบาย เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นายกลินท์ สารสิน ประธานหอการค้าฯ นายบิล ไฮเนคกี้ CEO กลุ่มไมเนอร์ และนายวิเชียร พงศธร CEO กลุ่มพรีเมียร์ นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผอ. TCEB นายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์และเสนอข้อคิดเห็นตลอด 4 ชั่วโมงเต็ม โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมงานมาร่วมแลกเปลี่ยนกันอย่างกว้างขวาง

นายปริญญ์ เปิดเผยว่า งานสัมมนา “เปิดประเทศ เปิดโอกาส Next Normal” เกิดจากความต้องการที่อยากจะให้ให้ผู้มีส่วนได้เสียในการเปิดประเทศ จากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตของประเทศไทย มาร่วมกันแบ่งปันประสบการณ์และวิสัยทัศน์ ในการที่จะเปิดใจ เปิดประเทศ เพื่อเตรียมพร้อมรับ “Next Normal” มาให้ข้อมูลที่ถูกต้องและระดมสมองเพื่อเสนอทางออกที่จะช่วยบาลานซ์ระหว่างความปลอดภัยด้านสาธารณสุขและระบบเศรษฐกิจ ให้สามารถเดินหน้าไปพร้อมกันได้ โดยความคิดเห็นทั้งหมดในวันนี้ จะทำการรวบรวมให้ผู้บริหารประเทศนำไปประกอบการตัดสินใจเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศไทยต่อไป

ทั้งนี้การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อด้านการสาธารณสุขแค่อย่างเดียว แต่ยังส่งผลไปยังระบบเศรษฐกิจ ทำให้นอกจากการควบคุมและป้องกันโรคระบาดแล้ว ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องบูรณาการความร่วมมือ เพื่อช่วยกันดูแลปัญหาปากท้องของประชาชนไปพร้อม ๆ กัน ด้วยการระดมสมองและหาแนวทางที่เหมาะสม เพื่อเตรียมพร้อมเปิดประเทศในอนาคตอันใกล้นี้อย่างเป็นระบบ และสร้างความมั่นใจให้สังคม

สาระสำคัญในเวทีเสวนาและเป็นข้อสังเกตุที่น่าสนใจมีหลายประเด็น อาทิ การลดจำนวนวันในการกักตัว หรือ State Quarantine จาก 14 วัน เหลือเพียง 10 วัน เนื่องจากมีอัตราความเสี่ยงเท่ากัน แต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในด้านเศรษฐกิจ การต่อยอดสถานที่กักตัวทางเลือก (Alternative State Quarantine) จาก Golf Quarantine ไปเป็น Resort Quarantine เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ การลดจำนวนวันกักตัวเป็นกรณีพิเศษ เมื่อเดินทางมาจากประเทศที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง หรือตรงตามเงื่อนไขอื่น ๆ เช่น นักเรียน นักศึกษา นักธุรกิจที่มีแผนการเดินทางในพื้นที่จำกัด นักกีฬา เป็นต้น รวมถึงการทยอยผ่อนปรนมาตรการป้องกันโควิด-19 ในธุรกิจคอนเสิร์ต จัดสัมมนาหรืออีเว้นท์ การปรับเปลี่ยนวิธีการสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับโควิด-19 ให้มีความชัดเจนและทำให้ประชนทราบกันอย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้ทุกคนกล้าที่จะเดินทางท่องเที่ยวและพร้อมสำหรับการเปิดประเทศ

การปรับเปลี่ยนแนวทางด้านเศรษฐกิจการท่องเที่ยว จากเดิมที่ต้องการนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ไปเป็นเน้นนักท่องเที่ยวคุณภาพ ที่มีความสามารถในการใช้จ่าย เพื่อรักษารายได้ให้เทียบเท่าอดีต โดยคาดการณ์ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่จะฟื้นตัวเทียบเท่าปี 2562 ภายใน 2 ปี ต่อจากนี้ไป นอกจากนี้ในงานยังมีการอัปเดตเรื่องวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่พร้อมให้บริการคนไทยภายในกลางปี 2564 ในราคาประมาณ 200 บาทต่อโดส และที่สำคัญการระบาดที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงนี้ในทางการแพทย์และสาธารณสุขยังไม่ถือว่าเป็นการระบาดที่เรียกว่าระลอกสอง อย่างที่หลายคนกังวล

“อย่างไรก็ตาม การจะเปิดประเทศไม่สามารถยกเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นหลักได้ เพราะทั้งระบบสาธารณสุขและระบบเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน การเปิดประเทศเป็นการเปิดโอกาสในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งการจะเปิดโอกาสได้นั้น จำเป็นต้องสร้างความเข้าใจให้พี่น้องคนไทย เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและเปิดใจยอมรับ โดยข้อคิดเห็นจากทุกภาคส่วนในวันนี้ ที่เกิดจากการช่วยกันคิด และบูรณาการความร่วมมือระหว่างกัน จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาให้ประเทศ ได้อย่างเป็นรูปธรรม” นายปริญญ์กล่าว

นายปริญญ์ยังได้กล่าวเสริมในตอนท้ายด้วยว่าในช่วงที่ผ่านมา มีประเทศที่รีบเปิดประเทศแล้วเกิดปัญหาการแพร่ระบาดลุกลาม สุดท้ายต้องกลับมาปิดอีกครั้ง ซึ่งลักษณะนี้จะทำให้สูญเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล เป็นเรื่องที่พวกเราคงไม่อยากให้เกิด งานเสวนาในครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนเวทีที่ใช้รวบรวมความคิดอย่างเป็นระบบ ก่อนจะนำไปเสนอต่อผู้บริหารประเทศ เพื่อไปสู่การเปิดประเทศอย่างมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนและรอบคอบในอนาคต