✔ คุณสังเกตมั้ยว่าในช่วงวิกฤติที่ผ่านมา ทุกคนต่างได้รับผลกระทบกันเป็นแถบ บางคนติดโรคระบาด บางคนไม่ติดแต่ก็ต้องมีชีวิตอยู่กับความหวาดระแวง กังวลว่าตัวเองติดรึยัง ถ้าติดขึ้นมาจะทำยังไง จะมีเตียงมั้ย จะเอาไปติดคนที่เรารักมั้ย ถ้าไปติดพ่อแม่ แล้วเกิดเสียขึ้นมาจะทำยังไง นอกจากจะวิตกกังวลเรื่องสุขภาพแล้ว แถมยังมีเรื่องปากท้องอีก ทั้งเศรฐกิจซบเซา บางคนโดนไล่ออกจากงาน ไม่มีเงินจะกินข้าว ไม่มีที่จะอยู่ บางคนเอาความเครียดที่มี ไปลงกับความสัมพันธ์ กลายเป็นความรักพังอีก ในเวลาที่ทุกคนก็โดนเหมือนๆกัน บางคนโศรกเศร้าไม่มีแรงจะทำอะไร แต่ทำไมบางคนยังมีพลังในการจะลุกขึ้นมาแก้ปัญหา ** บางคนไม่ใช่แค่แก้ปัญหาได้ แต่สามารถพลิกวิกฤติกลายเป็นโอกาศสร้างความสำเร็จสวนทางกับคนอื่นๆ **✔ ครูเมย์จะเล่าเคสของลูกศิษย์ของครูให้ฟัง มีคนนึง เป็นพนักงานขับรถ พอโรคระบาดมา คน work from home กันหมด เจ้านายไม่ต้องไปออฟฟิศแล้ว เลยโดนไล่ออก ตกงาน ผันตัวไปเปิดร้านขายชานมไข่มุก เดลิเวอร์รี่ จากพนักงานขับรถ กลายเป็นผู้ประกอบการ จากเคยรายได้ 18000 กลายเป็นรายได้ 3-4 หมื่น/เดือน อีกคนเป็นแอร์โฮสเตจ ไม่มีบิน ตกงาน โดนปลดจากสายการบิน เปลี่ยนไปเป็น วีเจ ไลฟ์ในแอพพลิเคชั่น ได้รายได้ เพิ่มขึ้น 5 เท่า คุณเชื่อมั้ยฟังแล้วคุณจะตกใจ จากเป็นแอร์รายได้ประมาณ 1 แสน กลายเป็นเดือนที่เยอะที่สุดนะ ได้เดือนละ 5 แสน! โดยไม่มีต้นทุนนะ มีแค่โทรศัพท์ เครื่องเดียว ไลฟ์จากบ้าน อีกคนเป็นแพทย์แผนจีน เปิดคลีนิคฝังเข็ม พอมีโรคระบาด คลีนิคถูกปิดเป็นปี ไม่มีรายได้เลย แต่เค้าผันตัวไปขายอุปกรณ์การแพทย์กลายเป็นสร้างรายได้เดือนละล้าน รวยขึ้นกว่าเดิม 10 เท่า มองย้อนกลับไปจากวันนี้ อาจจะมองเหมือนมันง่าย เค้ามีทุนทรัพย์ หน้าตา ความรู้อะไรที่เหนือกว่าคนอื่นเลยสามารถเอาตัวรอดได้รึปล่าว??ไม่ใช่เลยค่ะ คนในอาชีพเดียวกัน มีหน้าตาที่ดี มีฐานะที่ดี มีความรู้ มีคอนเน็คชั่น แต่ไม่รอด ก็มีเยอะแยะเลยค่ะ ครูจะบอกเลยว่า ณ วันนั้นที่เหตุการณ์มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นเร็วมาก และ ไม่มีใครรู้หรอกค่ะ ว่าจะต้องทำยังไง ถึงจะถูกต้อง – ปีที่แล้ว คุณรู้หรอว่าถ้าเป็นแอร์ต้องไปไลฟ์ถึงจะรอด – เป็นพนักงานขับรถ ต้องไปขายชานมไข่มุกถึงจะรอด คุณไม่รู้หรอกค่ะ คุณต้องรวบรวมพลังมามั่ว ลองผิด ลองถูก หาวิธีแก้ปัญหา วิเคราะว่าตัวเองมีอะไรดี มีทางรอดยังไงได้บ้าง และ ลุยมันอย่างเต็มที่ ไม่เวิร์คก็เปลี่ยน ไม่เวิร์คก็เปลี่ยน แล้วลุยเต็มที่อีกแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันถึงจะบังเกิดผล ตัวอย่างที่ครูเมย์เล่านี้ ก็ไม่ใช่ว่า มีปัญหาปุ้บ ทำแบบนี้ปั้บ เวิร์คทันที ก็ไม่ใช่นะคะพวกเค้าก็ลองผิด ลองถูก ล้มลุกคลุกคลานเหมือนกัน คนที่เป็นแอร์ คุณอาจจะคิดว่า อ่อเค้าสวยไง เค้าถึงทำได้ แต่จริงๆ เค้าต้องไลฟ์เก้อ แบบไม่มีคนดู พูดคนเดียววันละ 8 ชม. อยู่หลายเดือนกว่าที่มันจะได้ผลลัพท์แบบบนี้ อย่างคุณหมอนี่ ตอนแรก เอาเจลแอลกอฮอลล์มาขาย แต่เอาเข้ามาไม่ทันคนอื่นสุดท้ายขาดทุน ก็ลองพยายามอยู่หลายอย่างจนสำเร็จ แต่สิ่งที่คนพวกนี้มีเหมือนๆกัน คือสุขภาพจิตที่ดีค่ะ พอสุขภาพจิตดี เราก็มีพลัง คิดบวก มีความหวัง ปราศจากสุขภาพจิตที่ดี คุณจะรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง คิดลบ ไม่มีแรงขึ้นมาทำอะไรหรอกค่ะ หรือต่อให้ทำ ก็ทำแบบเหมือนเป็นซอมบี้ ประสิทธิภาพของคุณจะตกลงอย่างมาก ลองคิดถึงเวลาคุณทำอะไรซักอย่าง แต่ใจคุณคิดว่า “ทำไปมันไม่เวิร์คหรอก” สิ คุณว่าคุณจะทุ่มสุดตัว 200% มั้ย เห็นภาพมั้ยคะ แล้วพอคุณไม่ทุ่มสุดตัวโอกาศสำเร็จมันก็น้อยลงมากเลยค่ะ แต่ถ้าคุณมีกำลังใจที่ดีลุยเต็มที่ไม่ว่าโอกาศมันจะต่ำแค่ไหน นั่นคือจังหวะที่ปาฎิหารบังเกิดค่ะ สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักครูเมย์ ขอแนะนำตัวเองสั้นๆครูเมย์ จบปริญญาโทจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยเกษมบัญฑิต ปัจจุบันเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิชาการให้กับ หน่วยงาน สสส. และเปิดเพจให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยา มาแล้วประมาณ 3 ปีค่ะ คนที่มาปรึกษา ก็มีทั้ง ซึมเศร้า แพนิค เครียด มีความมั่นใจในตัวเองต่ำ มีปัญหาความรัก และอื่นๆอีกมากมาย วันนี้ก็หวังอย่างยิ่งว่าความรู้ที่จะเอามาให้ทุกคนวันนี้จะเป็นประโยชน์นะคะ ถ้าเป็นไปได้ อยากให้ทุกคนตั้งใจฟัง เพราะสิ่งที่ครูจะพูดนี่ ปรกติต้องจ่ายเงินเพื่อเรียนนะคะ เอาล่ะวันนี้ครูจะสอนคือ “วิธีให้พวกเรามีสุขภาพจิตที่ดีเวลาคุณเจอเหตุการณ์แย่ๆ”แล้วสุขภาพจิตที่ดีนี่แหละ จะพาคุณไปเจอทางแก้ปัญหาต่างๆ ให้คุณเอง ความรู้ที่ครูจะให้วันนี้จะช่วยให้เราเรียนทีเดียว สามารถนำไปใช้ได้ ทุกทุกวิกฤติ และ ใช้ได้ตลอดชีวิต อยากให้พวกเราทุกคนตั้งใจฟังนะคะ มาเริ่มกันเลย ความคิดลบในจิตวิทยานั้นมี 11 แบบแต่หนึ่งในแบบที่เจอบ่อยมากๆ เลย และวันนี้ที่ครูอยากจะเอามาสอน คือ “การจินตนาการณ์ถึงแต่เหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเสมอ” วิตกกังวลไปถึงเหตุการณ์ในอนาคตว่ามันจะต้องออกมาแย่เกินที่ฉันจะรับไหว เช่น . แค่แฟนบอกว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อน ก็คิดไปถึงว่าแฟนจะต้องอยู่กับผู้หญิง/ผู้ชาย คนอื่น ถึงไปถึงว่าตัวเองจะต้องถูกแย่งแฟน ถึงไปถึงว่าเลิกแล้วฉันจะต้องทำใจไม่ได้ หรือ หาคนใหม่ที่ดีเท่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ฉันจะต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิต . หรือแค่ทำงานออกมาไม่ค่อยดี โดนเจ้านายตำหนิ ก็คิดไปถึงว่าตัวเองจะต้องโดนไล่ออก จะหางานใหม่ไม่ได้ จะอยู่ต่อไม่ไหว ไม่มีข้าวกิน ไม่มีบ้านอยู่ . ทั้งๆ ที่เหตุการณ์พวกนี้ มันยังมาไม่ถึง และ อาจไม่มีวันมาถึงเลยก็ได้ ซึ่งนั่นทำให้คุณเอาความทุกข์จากอนาคตมาทุกข์ตอนนี้เลย . แล้วบ่อยครั้งเหตุการณ์พวกนี้มันก็ไม่ได้เกิดขึ้น แต่คุณก็ทุกข์ฟรี ไปเรียบร้อยแล้ว แล้วพอคุณเครียดฟรีบ่อยๆ บ่อยๆ มันก็ค่อยๆ ทำลายสุขภาพจิตคุณลงไปเรื่อยๆ . ซึ่งหลายคนมีความเข้าใจผิดว่า การคิดลบๆ ไว้ก่อนจะช่วยเป็นการตั้งรับ จะได้ ไม่เสียใจมาก แต่นั่นไม่ใช่เรื่องจริง . การคิดลบจนเกินไปมีแต่จะทำให้ความสามารถในการจัดการปัญหาต่ำลง ท้อแท้ สิ้นหวัง เสียสุขภาพจิต หมดเรี่ยวแรง ในทางจิตวิทยา เรามีวิธีอื่นที่ดีกว่านั้นเยอะเลยค่ะ ครูมีเทคนิคดีๆ จากคอร์ส CBT มาให้ดังนี้ค่ะ 1. ปรับความคิดให้ บาลานซ์ หลังจากที่เราถามตัวเองว่าเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคืออะไรแล้ว ครูเมย์อยากให้คุณลองถามตัวเองด้วยสิคะว่า แล้วเหตุการณ์ที่ดีที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นคืออะไร? . เช่น ถ้าคุณโดนไล่ออกจากงาน เหตุการณ์ที่แย่ที่สุด คือคุณไม่มีเงิน ไม่มีข้าวกิน ไม่มีที่อยู่ ใช่มั้ยคะ . แล้วเหตุการณ์ที่ดีที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นล่ะ? คุณอาจจะพบกับงานใหม่ ที่รายได้ดีกว่าเดิม ชอบทำมากกว่าเดิม เจอเพื่อนใหม่ๆ ที่ดีขึ้น หรือ แม้กระทั่งเป็นจังหวะที่ดีที่จะได้ลองทำบางสิ่งที่คุณไม่กล้าที่จะลองทำ เช่น คุณอาจจะอยากลองขายของออนไลน์มาตั้งนานแล้ว แต่เนื่องจากคุณมีงานประจำคุณจึงไม่มีโอกาศได้ลอง นี่ก็คือเวลาที่จะได้ลองซักที ซึ่งไม่แน่อาชีพใหม่นี้ ก็ทำให้คนที่กำลังจะล้มละลาย กลายเป็นเศรษฐีก็มีมาแล้วเยอะแยะ . การคิดด้านลบสุด และ ด้านบวกสุด พร้อมกัน จะช่วยให้ ความคิดของเราเกิดความบาลานซ์มากยิ่งขึ้น ช่วยดึงไม่ให้ความคิดของเราดาวน์จนเกิดไปได้ เหมือนมีแสงแห่งความหวัง เล็กๆ ที่เกิดขึ้นในใจที่กำลังมืดมิดของคุณ . นอกจากนั้นเราจะใช้เทคนิคที่ชื่อว่า Mindfulness ในการฝึกตัดความรู้สึกวิตกกังวลถึงอนาคตที่อาจมาไม่ถึง แล้วโฟกัสอยู่กับปัจจุบัน . ในเวลาที่คุณกำลังคิดนะ ว่า โอ้ยโควิดมันแย่ หัวหน้าจะไล่ออก ฉันจะไม่มีข้าวกิน ฉันจะไม่มีที่อยู่ แฟนจะเลิกกับฉันมั้ย ลองถามตัวเอง เขียนลิสออกมาเลย – อะไรที่คุณควบคุมได้ และ อะไรที่คุณควบคุมไม่ได้ พอคุณถามสิ่งนี้กับตัวเอง สิ่งที่ออโตเมติกเลยที่จะเกิดขึ้นคืออะไรรู้มั้ย??? . เรื่องที่คุณคิดวกไปวนมา 10 เรื่อง มันจะลดลง 50% ทันที อาจจะเหลือ 5 เรื่อง หรือน้อยกว่านั้น เพราะพอคุณไปตีตรามันแล้ว ว่าอันนี้มันควบคุมไม่ได้ สมองคุณมันจะรู้ทันทีว่า “อ่าว แล้วแบบนี้ จะไปคิดถึงมันทำไม?” คิดไปก็ทำไรไม่ได้นี่หว่า มันจะเป็นการตีกรอบให้สมองคุณกลับมาโฟกัส เฉพาะเรื่องที่คุณควบคุมได้เท่านั้น . คุณควบคุมโควิดให้หายไปได้มั้ย? ไม่ได้ คุณควบคุมให้กิจการดี ควบคุมไม่ให้หัวหน้าไม่ไล่คุณออกได้ไม่มั้ย? ไม่ได้ แล้วจะไปคิดถึงมันทำไม? ✔ แล้วอะไรบ้างล่ะ ที่เราควบคุมได้ นั่นพาเรามาที่เทคนิคที่ 3 เทคนิคที่ชื่อว่า Problem Solving คือการวิเคราะวิธีจัดการปัญหาที่อาจเกิดในอนาคตอย่างเป็นระบบ แทนที่เราจะคิดว่า แย่แน่ๆ ตายแน่ๆ ไม่ไหวแน่ ไม่ เราไม่คิดแบบนั้น ลองถามตัวเองแบบนี้นะ – ในอดีตคุณเคยเจอเรื่องแย่ๆ อะไรมาบ้าง ที่ใกล้เคียงกับเรื่องนี้ แล้ว คุณผ่านมันมาได้ยังไง – มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นได้บ้าง – ถ้าเหตุการณ์ A เกิดขึ้น ฉันควรจะทำ 1234 – ถ้าเหตุการณ์ B เกิดขึ้น ฉันจะทำ 1234 รู้มั้ยว่า พอทำแบบนี้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้น . *** ครูจะบอกให้ว่า จำคำครูไว้เลยนะ เหตุผล ที่คนเราเครียด และ วิตกกังวล มากจนเกินไป เป็นเพราะ เรา ประเมินความสามารถในการรับมือกับปัญหาของเราต่ำเกินไป*** ซึ่งพอเราทำแบบนี้ มันจะทำให้เราเห็นถึงความสามารถในการเผชิญกับปัญหาของตัวเองมากยิ่งขึ้น นำมาซึ่งความมั่นใจ แล้วความวิตกกังวล ของคุณจะลดฮวบเลย ลองเอา 3 เทคนิค ที่ครูสอนมาใช้ ครูยกตัวอย่างนะลองคิดดูนะคะว่า ถ้าแอร์โฮสเตจ มีความคิดว่า สายการบินปิดแล้ว ฉันจะต้องโดนไล่ออกแน่ๆ ฉันไม่มีความรู้อะไรเลยนอกจากการเป็นแอร์ ซึ่งมันเอาไปใช้ทำอย่างอื่นไม่ได้แล้ว จะให้ไปสมัครงานบัญชีอย่างงี้หรอ ใครจะไปรับ ชีวิตฉันจบแล้ว เดี๋ยวฉันจะไม่มีเงินกินข้าว ไม่มีบ้านอยู่ ถ้าคิดแบบนี้เป็นไง? วิตกกังวลมะ เครียดมะ . แต่พอเรียนจิตวิทยาแล้วเค้ากลับมาวิเคราะตัวเองว่า ฉันก็หน้าตาดี พูดเก่ง เทคแคร์คนเก่ง อายุก็ยังน้อย ยังมีโอกาศให้ฉันทำอะไรได้อีกมากมาย แทนที่จะไปสนใจว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ฉันมาโฟกัสที่ปัจจุบันดีกว่า ว่ามันมีอะไรที่ฉันสามารถทำได้บ้าง ลิสออกมาเป็นข้อๆ เช่น – ไลฟ์สด – แคสเกม – เป็น YouTuber – ขายของออนไลน์ พอเค้าเริ่มเห็นว่า เออ มันมีอีกหลายอย่างเลยนะที่ฉันทำได้ ความกังวลมันก็เริ่มน้อยลง . แล้วพอเค้าถามตัวเองว่า เหตุการณ์ที่ดีที่สุดที่จะเกิดขึ้นคืออะไร เค้าก็ตอบตัวเองว่า ไม่แน่นะ ถ้าฉันไลฟ์ แล้วประสบความสำเร็จ อาจจะรวยกว่าเป็นแอร์ก็ได้ แถมทำงานอยู่บ้าน ตื่นสายได้ด้วย สบายจะตาย คิดไปคิดมาเอ่า เริ่มอยากทำ จะว่าไปไล่ฉันออกเลยก็ดีนะ 555 . เห็นมั้ยว่าตอนนี้ความกลัว กับความหวัง มันทำให้จิตใจเราเริ่มมีความบาลานซ์ขึ้นแล้ว คือใจนึงคุณก็อาจจะยังกลัวๆอยู่บ้าง แต่อีกใจนึงก็แอบคิดว่ามันอาจจะดีก็ได้ . เคสของพนักงานขับรถ ก็เหมือนกัน เค้าจะคิดว่า ตอนนี้ทุกคน เวิร์ค ฟรอม โฮม ทำงานที่บ้านกันหมด ไม่ต้องเดินทางไปไหน ใครจะมาจ้างฉัน ฉันไม่มีความรู้ความสามารถอะไรเลย จบแค่ ม.6 ขับรถมา 20 ปีแล้ว แก่แล้ว จะไปทำอะไรได้ คิดแบบนี้ ก็ถูกต้องใช่มะ ถ้าเราจะมองแบบนั้น แต่คิดเสร็จแล้วเราก็จะหมดเรี่ยวแรง ท้อถอยแล้วใช่มั้ยล่ะ แต่พอเค้าได้เรียนจิตวิทยาแล้ว กลายเป็นเค้าคิดแบบนี้ เฮ้ย ฉันยังมีเรี่ยวแรงดีอยู่ ฉันรู้เส้นทางทั่วกรุงเทพเลยนะ ฉันสามารถไปส่งของเองได้ทั่วเลย ภรรยาฉันก็ทำชานมไข่มุกอร่อย ลูกก็น่าจะมาช่วยทำการตลาดออนไลน์ได้ เรามาลองดูกันดีกว่า ไม่แน่อาจจะเวิร์คก็ได้ ทำตรงนี้ก็ช่วยให้ครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาดี จากเมื่อก่อนต้องไปทำงานขับรถเลิกดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ก็ไม่เลว เผลอๆ อาจจะรวยกว่าด้วย แล้วพอคิดแบบนี้ เค้าก็หายเครียด รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมา แล้วพอเค้าทำ มันก็เวิร์คจริงๆ . เห็นยังว่าคนเรียนจิตวิทยาสมองมันจะถูกฝึกมาให้คิดอีกแบบ แล้วผลลัพท์มันหน้ามือกับหลังมือเลยเห็นป่ะ คราวนี้ต้องถามคุณแล้วล่ะว่า คุณอยากจะฝึกสมองคุณให้ทำงานแบบไหน ถ้าใครฟังคอนเซปแล้วทำได้ ครูแนะนำให้หยุดอ่านที่เท่านี้ แล้วเอาไปทำเลย ดีแน่นอน สิ่งที่ครูพูดนี่มีงานวิจัยรองรับ ใช้ได้ผลกันทั่วโลก ปลอดภัย หายห่วง ส่วนบางคนบอก รู้แต่ยังทำไม่ได้ อยากรู้ว่าต้องฝึกยังไง อยากได้แบบฝึกผัด อยากลงลึก อยากมีคนให้คำปรึกษา อันนี้ครูมีคอร์สให้เหมือนกัน ในคอร์ส จิตวิทยา CBT ของครูเมย์ ยังมีเทคนิคทางจิตวิทยาดีๆ แบบนี้ อีกไม่ต่ำกว่า 30 เทคนิค ที่แจกให้ มะกี้ 3 เทคนิคเท่านั้นเอง และใน 3 เทคนิคนี้ครูจะพาลงลึกขึ้นอีกเยอะมาก หากใครสนใจซื้อคอร์สอ่านต่อได้เลยค่ะ คอร์สจิตวิทยา CBT (Cognitive Behavioral Therapy)ถ้าคุณอยากเป็นคนที่มีจิตใจที่แข็งแรง สดใส ไม่ว่ามีวิกฤติอะไรเกิดขึ้น จะโดนหัวหน้าไล่ออก จะธุรกิจเจ๊ง จะโดนฟ้อง จะถูกแฟนทิ้ง จะโดนคนด่า หรือจะมี โรคระบาด น้ำท่วม ม๊อบ อะไรเกิดขึ้นก็แล้วแต่ ก็ทำไรจิตใจคุณไม่ได้ ถ้าคุณอยากเป็นคนแบบนั้น ครูจะอธิบายคอร์ส CBT ว่ามันดียังไง มันจะสอนอะไรเราบ้าง และ ให้ Offer สำหรับคนที่อยากฟังต่อเท่านั้น Ok เอานะ คนที่ไม่สนใจออกไปหมดแล้วนะ มาลุยกันเลยในอดีตนะ ตอนเด็ก ครูจะเล่าให้ฟังว่า ครูเมย์เนี่ย เคยเป็นมาหมดแล้วนะ น้อยใจ คิดลบ เศร้าหนักจนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เป็นอาทิตย์ๆ เลยนะ ไม่มีแรงจะไปทำงาน ไม่มีอารมณ์จะทำอะไรทั้งนั้น ขนาดสิ่งที่เคยชอบมากๆ ก็ยังไม่อยากทำแล้วเลย แล้วเป็นอยู่เป็นปีๆ อ่ะ เป็นคนร้องไห้ง่ายมาก จะทำอะไรก็หวาดระแวง กลัวตาย กลัวคนนินทา กลัวอะไร สารพัดไปหมดเลย ทรมานมาก ไปหาหมอมาหลายที่ กินยา กินไรมาหลายเดือน จ่ายเงินไปก็เยอะ ไม่หายซักที จนไม่อยากอยู่แล้ว จริงๆ ก็พยายามจะไปหลายรอบแล้วด้วยนะ แต่ไม่สำเร็จ จนสุดท้ายได้มาเจอจิตวิทยานี่แหละ อันนี้เป็นทางสว่างของครูเลย . พอครูหายแล้ว ก็รักจิตวิทยามาก หลักจากนั้น ก็ศึกษาจิตวิทยาเต็มตัว แล้ว ก็พยายามแบ่งปันความรู้ ช่วยให้คำปรึกษาอื่นๆ มาตั้งแต่นั้น เพราะครูเข้าใจว่า มันทรมานจริงๆ สุขภาพจิตมันสำคัญกว่าที่คนหลายคนคิดมาก . คราวนี้สิ่งที่ครูอยากจะสอนพวกเราเลยอย่างแรกคือ เรื่องความเชื่อมโยงกันระหว่าง ความคิด ความรู้สึก และ พฤษติกรรมของเรา ทุกอย่างมันลิงค์กันหมด . อย่างเวลาเรา เศร้าเนี่ย เราไม่ได้จะต้องไปเปลี่ยนให้ตัวเองหายเศร้าตรงๆ เพราะเราสั่งมันแบบนั้นไม่ได้ เราสั่งให้ตัวเองหยุดร้องไห้ หรือหยุดโกรธไม่ได้ ไม่เชื่อลองดู แต่เราสามารถไปเปลี่ยนความคิด หรือ เปลี่ยนพฤษติกรรมบางอย่างของเราเพื่อให้ความเศร้ามันลดลง หรือ หายไปได้ ถ้าเราเข้าใจกลไกการทำงานของมัน เพราะอย่างที่บอกว่ามันเชื่อมกัน . ต่อมาครูจะพาเราไปฝึกที่จะควบคุม ความคิดของเรา ความคิดลบของเรามี หลักๆ 11 แบบ แต่ละแบบเนี่ย จะส่งผลต่อชีวิตพวกเราอย่างมาก โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย แล้วทุกคนต้องมีข้อใดข้อหนึ่งอย่างแน่นอน อยากรู้มั้ยมีอะไรบ้าง ลองดูลิสนี้ค่ะ 1. ความคิดแบบ ขาว หรือ ดำ เท่านั้น 2. ความคิดแบบเหมารวม 3. ความคิดแบบกรองสิ่งที่เป็นบวกออก โฟกัสที่สิ่งลบๆ 4. ความคิดแบบ ลดคุณค่าของสิ่งดีๆ 5. ความคิดแบบด่วนสรุป (นักอ่านใจ และ นักทำนายอนาคต) 6. ความคิดแบบ ชื่นชมคนอื่น ดูถูกตัวเอง 7. ความคิดแบบคิดถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเสมอ 8. ความคิดแบบเอาอารมณ์มาเป็นเหตุผล 9. ความคิดแบบ “ควร” 10. ความคิดแบบตีตรา 11. ความคิดแบบโทษตัวเอง หรือ โทษคนอื่น . เราจะพาเจาะลึกกัน ว่าแต่ละแบบมีวิธีสังเกตตัวเองยังไง เวลามันเกิดขึ้น และแก้ยังไงบ้าง แล้วพอเรารู้ทันตัวเอง แล้วรู้วิธีแก้ ความคิดลบจะเกิดขึ้นน้อยลงเรื่อยๆ จนมันหายไปเลยตลอดการ ซึ่งมันจะเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตเราเลย เพราะความคิดเหล่านี้มันส่งผลหมด ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องความรัก เรื่องครอบครัว . หลังจากนั้นครูจะพา ลงลึกขึ้นไปอีก แบบ แอดวานซ์ เลย ว่า ความคิดพวกนี้ มันเกิดมาจากอะไร . เช่น ความเชื่อพื้นฐาน ที่เราสร้างมันขึ้นมาตั้งแต่วัยเด็ก จะสังเกตว่า เหตุการณ์เดียวกันเกิดขึ้น ทำไม แต่ละคนมีความคิด ไม่เหมือนกัน ทำไมเราตีความเหตุการณ์ต่างๆ ไม่เหมือนกัน ทำไมเรามีหลักการในการดำเนินชีวิตไม่เหมือนกัน ทำไมเราตัดสินใจไม่เหมือนกัน . ก็เพราะพวกเรามีภูมิหลังที่ไม่เหมือนกัน เราก็เลยมีความเชื่อที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งความเชื่อนี้แหละมันจะสร้างรูปแบบการดำเนินชีวิต และการตัดสินใจต่างๆของเรานี่แหละซ้ำๆ มันจะเป็นตัวกำหนด ว่าชีวิตของเราจะเป็นยังไงในปัจจุบัน และ อนาคต ดังนั้นครูจะสอนพวกเราเข้าไปหาความเชื่อพื้นฐานของพวกเรา และ สอนวิธีในการตั้งโปรแกรมมันใหม่ เหมือนเรือที่หันหางเสือไปถูกทิศ เรือมันก็จะแล่นไปถูกทาง แล้วเราจะไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกเลย . ซึ่งเราจะไม่เรียนกับแบบลอยๆในคอร์สนี้นะ เราจะเรียนแบบที่วัดผลได้ หลังจากที่ปูพื้นฐาน CBT เสร็จแล้ว ครูเมย์ จะมีตารางบันทึกความคิดให้ทุกคนโหลดมาทำ ซึ่งตารางนี้จะเป็นแบบทดสอบที่วัดผลได้เลยว่า ความทุกข์ก่อนที่เราเรียน กับ หลังจากที่เราเรียนแล้ว แตกต่างหันเท่าไหร่ เป็นตัวเลขที่เห็นได้อย่างชัดเจน แล้วเราจะเห็นเลยว่า สิ่งที่พวกเราซื้อนี่มันคุ้มจริงๆ ** . ปัจจุบันมีนักเรียนในคอร์สนี้แล้ว หลายร้อยคน และ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคอร์สนี้ คุ้มมาก . เพราะอะไร เค้าถึงพูดแบบนั้น เค้าคุ้ม เพราะเค้าได้ดู VDO 3 ชม? เค้าคุ้มเพราะ เค้าได้ดาวโหลดชีทฟรี? ไม่ใช่เลยค่ะ . *** อย่างนึงที่ครูอยากให้ทุกคนปรับความเข้าใจให้ตรงกันคือ เวลาเราซื้อคอร์สเรียน เราไม่ได้ซื้อคอร์ส แต่เราซื้อผลลัพท์จากคอร์ส *** . ✔ ผลลัพท์คือ ความทุกข์ ความคิดลบ ความวิตกกังวล ความเศร้า ที่มันหายไป และ ไม่กลับมาอีกเลย . เวลาเราเป็นทุกข์ ถ้าเราไปทำ จิตบำบัดกับนักจิตวิทยา ราคาจะอยู่ที่ 2500 บาท/ครั้ง และ คุณจะต้องทำประมาณ 10 ครั้ง = 25000 บาท นี่คือราคาที่จะทำให้ความทุกข์ของคุณหายไป . ถ้าเราไม่ยอมเสีย ปล่อยให้จิตเราพังหนักขึ้นเรื่อยๆ ถึงจุดที่ต้องไปหาจิตแพทย์ เราจะโดนค่าหมอ ในโรงพยาบาลรวมค่ายา = 2600/ครั้ง คุณต้องไปหาอย่างน้อย ซัก 6-10 ครั้ง = 15600-26000 บาท . ถ้าเรียนกับครูเมย์แบบสด ราคาจะอยู่ที่ 15000 บาท/ครั้ง . แต่ถ้าคุณเรียนคอร์สนี้ ราคาอยู่ที่ 3990 บาท เท่านั้น แต่คอร์สนี้สามารถเรียนกี่ครั้งก็ได้ตลอดชีวิต และ เป็นทักษะที่ติดตัวเราไปจนวันตาย . คุณจะกลายเป็นคนที่ มีวิกฤติอะไรเกิดขึ้นก็ไม่วิตกกังวล ต่อให้ไม่เหลือใครยังไงก็ไม่เศร้า ไม่น้อยใจ มีความสุขได้กับทุกสถานการณ์ แต่เฉพาะคนที่ตัดสินใจเร็วครูจะลดให้ เหลือ 990 บาท (เฉพาะช่วง COVID หลังจากนั้นจะปรับกลับไปที่ 3990) . และมีสิ่งที่ครูอยากจะแถมเพิ่มให้ 1 วิธีการผ่อนคลายความเครียดแบบจิตวิทยา ในเวลาที่เราเครียดมากๆ เศร้ามากๆ อารมณ์กำลังพีค คนส่วนใหญ่ไปผ่อนคลาย ก็จะคิดออกแค่ ไปนั่งดูหนัง ฟังเพลง ใช่มั้ย แต่ถ้ามันไม่หายล่ะ? ในจิตวิทยา เรามีวิธีผ่อนคลายที่ล้ำกว่านั้น อีก 2 แบบคือ 1. Semi Formal Relaxation (เซมิฟอร์มอล รีแลคเซชั่น) และ 2. Formal Relaxation technic (ฟอร์มอล รีแลคเซชั่น) ใครนอนไม่หลับ ชอบคิดวกวน เครียดสะสม ไม่สามารถปิดสวิชสมองตัวเองได้ ฝึกเอาเทคนิคนี้ไปใช้จะนอนหลับดีขึ้น . 2 Mindfulness สูตรจิตวิทยาที่ช่วยให้เราฝึกอยู่กับปัจจุบัน ตัดความทุกข์จากอดีตที่ตามมาหลอกหลอน และ ตัดความกังวล ที่มาจากอนาคต หลายคนอาจจะเคยได้ยิน แต่ทำไม่ได้ ไม่รู้ต้องฝึกยังไง เดี๋ยวครูพาสอนวิธีฝึกให้เอง . 3 เทคนิค Problem Solving เจอปัญหา ไม่รู้จะแก้ยังไง คิดวกไปวนมา หาทางออกไม่เจอ ครูมีสูตรสอนวิเคราะปัญหา ให้มีทางแก้ ออกมาเป็นขั้นตอนเล็กๆ ที่ทำได้ ง่ายๆ เวลาเราเจอปัญหาอะไร เราจะได้ไม่ตื่นกลัว ช่วยให้เราวิตกกังวลน้อยลง . แบบนี้คุ้มแล้วใช่มั้ยคะ แต่ ครูจะให้เพิ่มอีก จริงๆ เป็นคอร์สในอนาคต ของครูที่จะทำสอน ถัดๆไป นะ แต่ เอาส่วนนึงมาให้เรียนก่อนเลยฟรีๆ 4. ใครมีปัญหา เบิร์นเอ้าท์ เครียด เบื่องานที่ทำอยู่ จะลาออก หรือ ไม่ออกดี ทำไงให้หาย โดยไม่ต้องเปลี่ยนงาน มาเดี๋ยวครูสอนให้+ วิธีการเอา CBT ไปประยุคใช้ 5. ใครมีปัญหาเรื่องความรัก คบแล้วไม่ยืด ครูมี จิตวิทยา เรื่องความรัก คบยังไง ให้รอด 6. และ ถ้าใครคบกับแฟนแล้วไม่รอด อกหัก อยากหายเจ็บเร็วๆ ครูมี จิตวิทยา ที่ทำให้เรา หายเจ็บได้ แบบเร็วสุดๆ (มูลค่ารวมๆ กันไม่ต่ำกว่า 15980 บาทแน่นอน ) . นอกจากนั้นครูจะมี เวิร์คชีตให้เรา ดาวโหลดได้ฟรี 4 ฉบับ 1. ตารางบันทึกความคิด ที่จะทำให้เราเห็นคะแนนเลยว่า ความทุกข์ ก่อนเรียน และ หลังเรียน แตกต่างกัน แค่ไหน เป็นตัวเลข % ชัดๆ เลย 2. เซ็ทคำถาม ที่ใช้ถามตัวเอง เวลาคิดลบ ไม่ต่ำกว่า 20 คำถาม เพื่อช่วยให้เราเปลี่ยนความคิด มองเหตุการณ์ต่างๆ ในมุมมองใหม่ๆ คำถามพวกนี้เปลี่ยนชีวิตมากครูพูดเลย 3. สูตรค้นหาความเชื่อพื้นฐาน ที่ฝังลึกในตัวคุณ ที่คุณสั่งสมมาตั้งแต่วัยเด็ก ที่มีผลต่อความคิด และ การกระทำของคุณในปัจจุบัน แค่ทำตามแล้วคุณจะหาเจอทันที 4. ตารางบันทึก 3 สิ่งดีๆ อันนี้ เป็นเครื่องมือที่ใช้ หาคุณค่าในตัวเอง เพิ่มความมั่นใจในตัวเอง ได้อย่างดีเยี่ยม (มูลค่าไม่ต่ำกว่า 990 บาท) แบบนี้ OK รึยัง แบบนี้คุ้มมั้ย . ครูมั่นใจว่าความรู้ในคอร์สนี้ช่วยคุณได้แน่นอน ที่เหลือขึ้นอยู่กับคุณจะออกแรงเพื่อตัวคุณเองแล้วค่ะ . ถ้าใครยังไม่มั่นใจ ครูให้ตัดสินใจได้ ง่ายๆเลยค่ะ คอร์สนี้ ใช้เวลา 3 ชม. แต่ครูให้เวลา 3 วัน ถ้าไม่ได้ผลมาเอาเงินคืนได้ 100% เลยค่ะ แบบนี้ดีมั้ยคะ ไม่มีความเสี่ยง ใดๆ ทั้งสิ้น . ครูบอกตามตรงว่า คอร์สนี้ ไม่ได้เหมาะกับทุกคนนะคะ ถ้าใครเป็นทุกข์ แล้วยินดีจะทนไปเรื่อยๆ อันนี้ ไม่เหมาะค่ะ . แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ มีทุกข์ แล้วคิดว่า พอกันที ฉันจะเปลี่ยนชีวิตตัวเอง นับตั้งแต่ตอนนี้ คอร์สนี้จะได้ผลกับคุณอย่างมาก เพราะคุณจะตั้งใจเรียน และทำแบบฝึกหัดอย่างตั้งใจ มันจะได้ผลสุดๆ และ ครูก็จะอยากสอนคนแบบนี้มากๆ . ถ้าคุณเป็นคนแบบนั้น พร้อมเริ่มเรียนทันที ครูให้ ราคา แค่ 990 บาทจริง!ข้อมูลติดต่อเพิ่มเติม Facebook : ใจชนะ - สอนดูแลสุขภาพจิตLine ID : @jaichana (อย่าลืมเครื่องหมาย@)Website : www.jaichana.netYoutube : ใจชนะ