องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (World Animal Protection) เข้าพบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แสดงความกังวลต่อกรณีข่าวผู้ประกอบการเตรียมการเปิดสวนเสือแห่งใหม่ ซึ่งสงสัยว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับสวนเสือชื่อดังที่เคยประกาศปิดตัวไปแล้ว โดยการเข้าพบในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อขอรับทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าวจากกรมอุทยานแห่งชาติฯ ตลอดจนแผนปฏิบัติงานด้านการตรวจสอบการจัดการด้านสวัสดิภาพสัตว์ป่าตามกฎหมายและมาตรฐานสากลในอนาคต พร้อมกันนี้ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกได้เป็นตัวแทนประชาชนมากกว่า 26,000 รายชื่อที่ร่วมลงชื่อแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการผสมพันธุ์สัตว์ป่าเชิงพาณิชย์และการนำสัตว์ป่ามาแสดงโชว์ โดยเฉพาะเสือและช้าง ซึ่งทางองค์กรฯ ได้รณรงค์สร้างความตระหนักรู้และมีความพยายามเสนอแก้กฎหมายมาอย่างต่อเนื่อง นายฉัตรณรงค์ เมืองวงษ์ ผู้จัดการแคมเปญสัตว์ป่า องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกประเทศไทย เปิดเผยว่า “องค์กรฯ และผู้สนับสนุนของเราไม่สนับสนุนการผสมพันธุ์สัตว์ป่าเชิงพาณิชย์ ตลอดจนการนำสัตว์ป่าเหล่านั้นมาใช้งานอย่างโหดร้ายทารุณ ผิดธรรมชาติของสัตว์ป่า ที่เห็นได้ชัดคือการแสดงโชว์สัตว์ป่าตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในปัจจุบัน ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมไปถึงคนไทยเอง ก็มีความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดกระแสเรียกร้องดังกล่าว” นายปัญจเดช สิงห์โท ที่ปรึกษาด้านนโยบาย องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก เสริมว่านอกเหนือจากการรณรงค์สาธารณะแล้ว องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกยังได้ริเริ่มเสนอแก้ไขกฏหมายโดยเฉพาะพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัญัติปกป้องและคุ้มครองช้างไทย พ.ศ. …. ให้ครอบคลุมการยุติผสมพันธุ์เสือในกรงเลี้ยงเพื่อยุติวงจรการป้อนเสือเข้าสู่อุตสาหกรรมแสดงโชว์และยกระดับสวัสดิภาพช้างอย่างเป็นระบบ ซึ่งองค์กรฯ จะติดตามความคืบหน้าของผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดต่อไป “จากการเข้าพบในครั้งนี้เราขอให้กรมอุทยานฯ ตรวจสอบและพิจารณาทบทวนการต่อใบอนุญาตและการขอจดทะเบียนอนุญาตสวนสัตว์รายใหม่ เนื่องจากสถานกาณ์โควิด-19 ได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าผู้ประกอบการจำนวนมากไม่สามารถดูแลสัตว์ได้อย่างเหมาะสม หลายแห่งมีปัญหาด้านสวัสดิภาพมาก่อนโควิด-19 ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะการบังคับสัตว์ป่าแสดงโชว์ การกักขังในพื้นที่คับแคบ ยิ่งไปกว่านั้น การผสมพันธุ์สัตว์ป่าจำนวนมากของผู้ประกอบการบางรายยังอาจมีวัตถุประสงค์แอบแฝงเกี่ยวกับการค้าสัตว์ป่าผิดกฏหมาย มากกว่าที่จะเป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์ป่า” นายปัญจเดชกล่าว จำนวนประชากรเสือที่อยู่ในกรงเลี้ยงทั่วประเทศไทยจากข้อมูลของกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้รับแจ้งอยู่ที่ราว 1,400 ตัว เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในรอบ 10 ปี (พ.ศ. 2550-2560) โดยทางองค์กรฯ พบว่าเสือในกรงเลี้ยงส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ต่างถิ่น เช่น เสือโคร่งเบงกอล เสือโคร่งไซบีเรีย ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ด้านการอนุรักษ์ประชากรเสือในป่าซึ่งเป็นสายพันธุ์ท้องถิ่นแต่อย่างใด นอกจากนี้ การผสมพันธุ์เสือเชิงพาณิชย์ในภาพรวมยังมีความเสี่ยงด้านการลักลอบค้าขายสัตว์ป่าด้วย ดังเช่นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในกรณีวัดเสือ จ.กาญจนบุรี หรือสวนเสือมุกดา จ.มุกดาหาร ด้านนายสมปอง ทองสีเข้ม ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า เปิดเผยว่า กรมอุทยานแห่งชาติฯ มีแผนการปฏิบัติงานเพื่อพัฒนาสวัสดิภาพสัตว์ป่า ตลอดจนเร่งเดินหน้าปราบปรามการลักลอบค้าขายสัตว์ป่าอย่างจริงจัง โดยภาครัฐมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะทำงานร่วมกับองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกและองค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆ ต่อไป