ในงานได้รับเกียรติจาก ดร.ชูชาติ วัฒนวรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพืชสวน คุณณัฐวณี ยมโชติ ผู้อำนวยการส่วนวิจัยเศรษฐกิจพืชสวน คุณศันสนีย์ นิติธรรมยง ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมไม้ยืนต้น นายสุธรรม วิชชุไตรภพ ประธานมูลนิธิชาวสวนกาแฟ และดร.ประยูร สงค์ประเสริฐ นายกสมาคมชาวสวนกาแฟ เป็นเกียรติเข้าร่วมงานฉลอง 40 ปี อีกทั้งยังมีสมาชิกสมาคมกาแฟไทยมาร่วมงานมากมาย เหล่า Coffee Lover ที่ชอบดื่มด่ำกับรสชาติและกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเมล็ดกาแฟพันธุ์ต่างๆ รู้ไหมว่าประเทศไทยเรามีความสามารถในการปลูกกาแฟสายพันธุ์ต่างๆ และยังเป็นสินค้าส่งออกที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยจนหลายประเทศทั่วโลกต่างรุมจีบและชื่นชอบกาแฟไทย ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา อินเดีย ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ประเทศแถบตะวันออกกลางกาแฟเป็นพืชที่เริ่มปลูกในประเทศไทยอย่างจริงจังมาเกือบ 50 ปี โดยเริ่มปลูกในภาคใต้ก่อน คือสายพันธุ์ Robusta ต่อมาจึงเริ่มปลูกสายพันธุ์ Arabica ในปี พ.ศ. 2517 ในภาคเหนือ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรชาวไทยภูเขาปลูกเพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น ซึ่งคนไทยยังบริโภคกาแฟไม่แพร่หลายนัก กาแฟที่ปลูกจึงมีมากกว่าที่บริโภค ซึ่งประเทศไทยมีความสามารถในการปลูกกาแฟได้มากถึง 100,000 ตันต่อปี กลายเป็นผู้ส่งออกกาแฟ โรบัสต้า ที่ได้การยอมรับถึงรสชาติและคุณภาพ ซึ่งเหนือกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย และเวียดนามเลยทีเดียว ในปี 2525 สมาคมกาแฟไทย (ชื่อเดิมสมาคมผู้ส่งออกกาแฟ) ได้ก่อตั้งขึ้น นับเป็นเวลากว่า 40 ปี แล้ว ที่สมาคมกาแฟไทย ได้ทำหน้าที่ผลักดันให้กาแฟไทยได้มีโอกาสไปสู่ตลาดโลก จากผู้ส่งออกกาแฟจนทุกวันนี้ได้มีส่วนในการพัฒนาวงการกาแฟทุกภาคส่วน และอีกทั้งยังมีหน้าที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมกาแฟไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และได้พัฒนายกระดับมาตรฐานกาแฟไทยให้เป็นไปตามที่ตลาดโลกยอมรับ และเนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 40 ปีของสมาคมกาแฟไทยในครั้งนี้ ยังเป็นการรวมตัวครั้งสำคัญของสมาชิกสมาคมกาแฟไทยทั้งหมด 43 ราย รวมแล้วมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 80% และครอบคลุมทุกห่วงโซ่อุตสาหกรรมกาแฟตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ คุณวินิดา ได้กล่าวว่า “การจัดงานในครั้งนี้เราอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการวงการกาแฟไทย ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร ผู้ประกอบการแปรรูปกาแฟ โรงคั่วกาแฟ ร้านกาแฟ ผู้ประกอบการค้าสารกาแฟ และหน่วยงานภาครัฐซึ่งมีส่วนส่งเสริมเรื่องกาแฟ ได้มีโอกาสมารวมตัวกัน เพื่อทำความรู้จักแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อให้พวกเราเดินไปด้วยกันพัฒนาและยกระดับวงการกาแฟไทยอย่างยั่งยืน” นายกสมาคมกาแฟไทย ยังได้เผยถึงการพัฒนา ปรับปรุงอย่างต่อเนื่องของวงการกาแฟไทย โดยมีพันธกิจหลักคือ การเป็นศูนย์กลางของกาแฟไทยทั้งระบบ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และสร้างการรับรู้สู่ระดับสากลอย่างยั่งยืน และได้มีการสร้างสรรค์โลโก้ใหม่ซึ่งสื่อถึงการเป็นผู้เชื่อมโยงให้อุตสาหกรรมกาแฟเป็นหนึ่งเดียว “เรามุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางและแหล่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมกาแฟทั้งระบบ เพื่อเป็นประโยชน์เพื่อส่วนรวม และรวบรวมสมาชิก ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่หลากหลายในระบบห่วงโซ่อุปทาน เพื่อมาเป็นตัวแทนร่วมกัน เพื่อการก้าวสู่การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน และเป็นศูนย์กลางเวทีของการพบปะแลกเปลี่ยนความรู้ทุกภาคส่วนในวงการกาแฟ” คุณวินิดา มังกรกาญจน์ นายกสมาคมกาแฟไทย ยังได้กล่าวว่า “จากการร่วมงานกับสมาคมมาเป็นเวลา 10 ปี ได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดกาแฟมาอย่างมากมาย ได้เห็นถึงการพัฒนาในทุกอณูของวงการกาแฟไทย ทั้งองค์ความรู้ เทคโนโลยีที่สมัยใหม่มีบทบาทช่วยผลักดันให้ทุกขั้นตอนของห่วงโซ่กาแฟได้มีการพัฒนาก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสเข้าถึงกาแฟที่ดีมีรสชาติหลากหลายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีการสร้างเอกลักษณ์กาแฟของแต่ละพื้นที่ รวมไปถึงโรงคั่ว ร้านคาเฟ่ และแก้วกาแฟ ซึ่งสามารถเปิดตลาดให้นักดื่มกาแฟทั้งหน้าใหม่และเก่าได้เพลิดเพลินรสชาติกาแฟมากขึ้น นำไปสู่การเจริญเติบโตของตลาดกาแฟไทย” ภายในงานยังมีปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ ทิศทางกาแฟไทย โดยได้รับเกียรติจาก ดร.ชูชาติ วัฒนวรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพืชสวน นอกจากนี้ นายสุธรรม วิชชุไตรภพ ประธานมูลนิธิชาวสวนกาแฟ ตัวแทนภาคเกษตรกร ได้ขึ้นมากล่าวชื่นชมและยินดีกับสมาคมกาแฟไทยที่ได้ดำเนินมาครบรอบ 40 ปี ในการพัฒนากาแฟไทยให้เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ ว่า “การพัฒนากาแฟไทยไปสู่การแข่งขันในตลาดกาแฟโลกนั้นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบธุรกิจกาแฟ เกษตรกร และรัฐบาล ซึ่งผมและท่านสุษิร สุรัตนกวีกุล นายกสมาคมผู้ส่งออกกาแฟคนแรก เราช่วยกันคิดเพื่อรักษาสิทธิและผลประโยชน์ของเกษตรกรและผู้ประกอบธุรกิจกาแฟ เราเหมือนพี่น้องครอบครัวเดียวกัน ถ้าเกษตรกรอยู่ไม่ได้ ผู้ประกอบการธุรกิจกาแฟก็อยู่ไม่ได้ เราต้องช่วยกันพัฒนาเพื่อให้กาแฟไทยเป็นที่ยอมรับ และก้าวไปสู่เวทีตลาดกาแฟโลกให้จงได้” “ผมโชคดีในฐานะผู้นำเกษตรกรที่ได้เข้ามาร่วมงานศึกษาและทำงานร่วมกับสมาคมกาแฟไทยตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน ได้เรียนรู้การตลาด การพัฒนาคุณภาพและความเข้มแข็งของเกษตรกร สถาบันเกษตรกรเน้นหลักในการพัฒนาคุณภาพ การรวมกลุ่มนาผลผลิตกาแฟขายให้สมาคมผู้ส่งออกกาแฟโดยตรง โดยการรวมกลุ่ม ความเข้มแข็งของสถาบันเกษตรกร ตลอดจนการพัฒนาการผลิต การตลาด การแปรรูปผลผลิต เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เป็นผู้ดำเนินการจัดตั้งกองทุนกาแฟ มูลนิธิชาวสวนกาแฟ และผลักดันการสมัครเป็นสมาชิกองค์การกาแฟระหว่างประเทศ หรือ ไอซีโอ และได้ประกันราคาเมล็ดกาแฟ “ท่านอดีตนายกสมาคมกาแฟไทย คุณวารี สดประเสริฐ ได้มีความตั้งใจและปรารถนาที่จะเน้นการพัฒนาคุณภาพกาแฟไทยให้เป็นเลิศ โดยการมีส่วนร่วมพัฒนาให้ความคิดเดียวกันระหว่างผู้ประกอบธุรกิจกาแฟ เกษตรกร และรัฐบาล โดยเคารพในสิทธิและผลประโยชน์ด้วยกันทั้งในปัจุบันและอนาคต โดยการจัดสัมมนาชาวสวนกาแฟเพื่อให้ตัวแทนเกษตรกรรับฟังความคิดเห็นและปัญหาของเกษตรกร นำเกษตรกรศึกษาดูงานต่างประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา เวียดนาม ลาว เมียนมา จีน เกาหลี ไต้หวัน เพื่อให้ได้ศึกษาข้อเท็จจริงทั้งการผลิต การตลาด การแปรรูปอุตสาหกรรมกาแฟ และความเข้มแข็งของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรชาวสวนกาแฟ เพื่อนำกลับมาพัฒนาในประเทศไทย” นายสุธรรม กล่าว ก้าวต่อไปของสมาคมกาแฟไทยคือ การผลักดันทิศทางและนโยบายที่จะช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้า เพิ่มสามารถการแข่งขันในตลาดกาแฟทั้งในประเทศและต่างประเทศ เน้นผลักดันนโยบายกับภาครัฐ เพื่อปลดล็อคอุปสรรคทางการค้า นำพาให้กาแฟไทยไปสู่เป้าหมาย การเป็น Coffee Hub ของอาเซียน