ในยุคสมัยนี้คงยากที่จะไม่ให้เด็กเล่นเกมออนไลน์ ไถจอมือถือ ดูคลิปวิดีโอ หรือเล่น Social Media ต่างๆ เพราะด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำไปอย่างรวดเร็ว ทำให้แทบจะทุกบ้านต่างก็มีมือถือใช้และนำมือถือมาเป็นตัวช่วยในการเลี้ยงลูก ไม่ว่าจะด้วยความจำเป็นบางอย่างหรือเหตุผลต่างๆ เช่น ไม่อยากให้ลูกงอแง เพราะพ่อแม่ต้องทำงาน หรือพ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาเล่นกับลูก จนทำให้การใช้เวลากับมือถือกลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตประจำวันไปแล้ว และเมื่อปล่อยให้เด็กเล่นมือถือบ่อยครั้งและนานมากเท่าไร ก็ยิ่งยากที่จะแยกเด็กออกจากมือถือและนำไปสู่ ปัญหาเด็กติดเกม ติดจอ ติดมือถือ อีกทั้งสีสันกับแสงจากจอมือถือและคลื่นความถี่ทำให้เด็กต้องมองความเคลื่อนไหวของภาพตลอดเวลาและเกิดความตื่นตาตื่นใจจนเคยชินกับสิ่งเร้า จึงส่งผลเสียต่อสมองและพัฒนาการของเด็กในระยะยาว ทำให้พัฒนาการช้า มีความสับสนในกระบวนการความคิดสูงและความเข้าใจต่ำ (High Confusion vs Low Perception) หรือร้ายแรงจนถึงขั้นเป็นโรคสมาธิสั้น (ADHD – Attention Deficit Hyperactivity Disorder) ได้ในที่สุด จากสถิติพบว่า เด็กๆ ใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมือถือมากถึง 35 ชั่วโมง/สัปดาห์ ซึ่งปกติแล้วไม่ควรใช้เวลาเกินกว่า 16 ชั่วโมง/สัปดาห์ จึงส่งผลเสียอย่างมากต่อพัฒนาการของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการด้านร่างกายหรือจิตใจก็ตามและอาจนำไปสู่โรคสมาธิสั้นได้ และมีผลสำรวจของกรมสุขภาพจิตเมื่อปี 2559 ยังพบอีกว่า เด็กอายุ 6-15 ปีทั่วไทยเป็นโรคสมาธิสั้นมากถึง 420,000 คน ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว… แล้วโรคสมาธิสั้นคืออะไร จะมีอาการและส่งผลอย่างไรบ้าง ไปดูกัน โรคสมาธิสั้น คือภาวะของสมองส่วนหน้าทำงานบกพร่อง ทำให้พัฒนาการของเด็กช้าลง เด็กจึงขาดสมาธิ ฟังอะไรก็จะเก็บรายละเอียดไม่ค่อยจะได้ และมีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น ก้าวร้าว อาละวาด การควบคุมตนเองต่ำ ซุกซนมาก ไม่สามารถอยู่นิ่งๆ นานๆ ได้ และความสนใจและการเรียนรู้ลดลง ดังนั้นพ่อแม่และผู้ปกครองจึงไม่ควรมองข้ามพฤติกรรมติดจอนี้ และควรจำกัดเวลาในการเล่นมือถือไม่ให้มากจนเกินไป โดยอาจจะกำหนดให้ลูกดูจอมือถือได้ 1 ชั่วโมงสำหรับวันธรรมดาและ 2 ชั่วโมงสำหรับวันหยุด พร้อมทั้งเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกและจัดสรรตารางชีวิตเพื่อใช้เวลาคุณภาพร่วมกันกับลูกด้วย ที่สำคัญต้องสามารถเลือกสรรวิธีการอนุญาตให้เด็กเล่นมือถือมาใช้ได้อย่างเหมาะสมควบคู่ไปกับการบำรุงฟื้นฟูสมองไปพร้อมๆ กัน โดยผ่านการปรับจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างมากสำหรับเด็กยุคนี้ เพราะทุกการแสดงออกต่างๆ ล้วนเกิดจากสารเคมีในสมองหรือที่เรียกว่า “สารสื่อประสาท” ซึ่งถูกควบคุมโดยลำไส้ การบำรุงสมองจึงต้องเริ่มจากการปรับสมดุลที่ลำไส้ อาหารที่ทานจึงต้องบำรุงสมองโดยเฉพาะและต้องมีคุณค่าสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่ครบถ้วน อาหารทางเลือกในการบำรุงสมอง จึงเป็นที่สนใจและตอบโจทย์อย่างมากในโลกแห่งเทคโนโลยียุคใหม่นี้ เพราะนอกจากจะมีสารอาหารบำรุงสมองครบถ้วนแล้ว ยังทานง่าย พกพาสะดวก และบำรุงฟื้นฟูได้อย่างตรงจุดอีกด้วย NEROBIOTIC เป็นอาหารเสริมบำรุงสมองทางเลือกใหม่เจ้าแรกในเอเชียที่ใช้ Technology ระดับโลกที่ถูกคิดค้นโดยนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญด้านสมองและลำไส้โดยเฉพาะและมุ่งเน้นทำให้เกิดปฏิกิริยา TRINITY EFFECT ซึ่งมี 3 ขั้นตอนที่ทำให้สมองและลำไส้เกิดภาวะสมดุลที่เหนือระดับ 1. Symbiosis ที่ทำให้สารสกัดทั้ง 28 ชนิดทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว 2. Far Infrared (FIR) ซึ่งเป็นนวัตกรรมเหรียญทองระดับโลก เอกสิทธิ์จากเกาหลีหนึ่งเดียวในไทย ทำให้เกิดปฏิกิริยาการดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว (Hyper-Absorption) และเหนือกว่าการดูดซึมแบบทั่วไปและส่งผลทำให้เกิดสภาวะสมดุลอีกด้วย 3. Bi-Directional Balance ไม่เพียงแค่บำรุงสมองเท่านั้น แต่เน้นการบำรุงและฟื้นฟูจากแหล่งกำเนิดของสารสื่อประสาทของสมองอย่างแท้จริง ด้วยการปรับสมดุลการทำงานของทั้งสมองและลำไส้ (ซึ่งเป็นสมองที่ 2 ของร่างกาย) ผ่านการปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมการสร้างสารสื่อประสาทด้วยการเข้าไปเพิ่มระดับทริปโตเฟน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสร้างสารสื่อประสาทเซโรโทนิน ทำให้การแสดงออกด้านอารมณ์และพฤติกรรมเป็นไปอย่างเหมาะสม ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ NEROBIOTIC ได้ถูกออกแบบมาเพื่อมุ่งเน้นการปรับสมดุลสมอง-ลำไส้ ซึ่งมีสารสกัดถึง 28 ชนิด สารสกัดหลักมี Probio10 ประกอบด้วยจุลินทรีย์โพรไบโอติกที่มีประโยชน์กว่า 10 ชนิดซึ่งมีจุลินทรีย์กว่า 12.5 พันล้าน CFU พร้อมกับพรีไบโอติก Xylo-oligosaccharide (XOS) อาหารของจุลินทรีย์ที่ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ลดการอักเสบที่ส่งผลต่อการผลิตสารสื่อประสาทที่จำเป็นต่อสมองที่ไม่สมดุล ได้อีกด้วย ปลอดภัย ไม่ใส่สารเติมแต่ง สารกันบูด ปลอด GMO ไม่มีส่วนผสมของนมวัว กลูเตน และถั่วเหลือง ผู้ที่แพ้ส่วนผสมเหล่านี้จึงสามารถทานได้ นอกจากการปรับสมดุลลำไส้แล้ว การส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทประสานกับสมดุลจุลินทรีย์ที่ดีขึ้นเป็นส่วนที่สำคัญที่ทำให้สามารถปรับอารมณ์และพฤติกรรมได้ ซึ่งได้แก่สารอาหารจากพืช บาโคปา จากพรมมิ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดการเกิดการอักเสบที่มีผลต่อการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาท ส่งเสริมพัฒนาการให้ดีขึ้น วิตามินบีรวมจาก Panmol B ด้วยสกัดจากคีนัว ตัวช่วยสร้างการสื่อสารที่ดีของระบบประสาท ยังมี Kelp สาหร่ายสีน้ำตาลซึ่งมีโอเมก้า 3 เป็น 1 ในสุดยอดสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเด็ก ช่วยต้านการอักเสบของร่างกายและช่วยในการพัฒนาการของสมองด้านอารมณ์ ความรู้สึกและพฤติกรรมของเด็กที่สมาธิสั้น และยังมี Zinc ที่ช่วยในการสมานเยื่อบุลำไส้ ลดการเกิดภาวะลำไส้รั่วสาเหตุของการอักเสบในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยดูแลสุขภาพดวงตา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในยุคปัจจุบันที่เราหลีกเลี่ยงการใช้หน้าจอไม่ได้ด้วยสารสกัดบลูเบอร์รี บิลเบอร์รี ดอกดาวเรือง และแอสต้าแซนทีนจากสาหร่าย ช่วยให้มองเห็นในเวลากลางคืนได้ดี ลดภาวะความจำเสื่อม ชะลอความเสื่อมของจอประสาทตาจากรังสียูวี (UV Ray) , แสงสีฟ้า (Blue Ray) และต้อกระจก ที่เกิดจากการเสื่อมอายุของเซลล์ได้อีกด้วย คุณพ่อคุณแม่ก็หมดกังวลไปได้เลย เมื่อมีตัวช่วยดีๆ อย่าง "NEROBIOTIC" ดูแลสุขภาพสมอง เสริมภูมิคุ้มกัน และกระตุ้นพัฒนาการของลูกๆ ด้วยการปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ง่ายๆ เพียงทานวันละครั้ง ควบคู่กับการปรับพฤติกรรมติดจอของลูกอย่างจริงจังด้วยการเป็นต้นแบบที่ดี เมื่อพ่อแม่ใช้มือถือให้เป็นเวลาโดยกำหนดหรือลดเวลากิจกรรมหน้าจอ, มือถือ อย่างจริงจัง การแก้ไขพฤติกรรมติดจอก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป มาสร้างชีวิตใหม่ให้ครอบครัว ลูกและคนที่เรารัก ด้วย NEROBIOTIC กันเถอะ สนใจติดต่อสั่งซื้อหรือสอบถามรายละเอียดได้ทางFacebook : NeuroBiotic Asiaเลขที่จดแจ้งอย. : 13-1-15859-5-0980