ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว "การตลาดที่ดีไม่ใช่แค่สร้างสรรค์ แต่ต้องวัดผลได้จริง" เนื่องจากทุกเม็ดเงินที่ลงทุนไปจำเป็นต้องให้ผลตอบแทนทางการตลาดที่คุ้มค่า (Marketing ROI) เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายในยุคดิจิทัล บริษัท Way Maker นำโดย คุณณกมล อัศวยนต์ชัย CEO บริษัท Way Maker จำกัด เจ้าของผลงานหนังสือขายดี Marketing Research 101 และ Marketing ROI การตลาดด้วยแนวคิดผลตอบแทนจากการลงทุนได้จัดงานเสวนา "The Future of Marketing ROI 2025" เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 ณ อุทยานการเรียนรู้ TK Park โดยได้รับความสนใจจากนักการตลาด ผู้ประกอบการ และผู้ที่สนใจด้านกลยุทธ์ธุรกิจเป็นจำนวนมาก Marketing ROI: กุญแจสู่การตลาดที่สร้างผลลัพธ์ได้จริง ในยุคที่ข้อมูลและเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญ Marketing ROI (Return on Investment) หรือ"ผลตอบแทนจากการลงทุนทางการตลาด" ได้กลายเป็นหัวใจหลักของทุกแคมเปญ เนื่องจากการตลาดที่ไม่สามารถวัดผลได้ อาจกลายเป็นเพียงค่าใช้จ่ายที่สูญเปล่า แต่หากมีการวัดผลที่แม่นยำ จะช่วยให้องค์กรสามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมและสร้างผลลัพธ์ที่คุ้มค่ามากขึ้น ประเด็นสำคัญที่ถูกกล่าวถึงภายในงาน การวัดผลที่ดีไม่มีสูตรตายตัวขึ้นอยู่กับ บริบทแวดล้อม และเป้าหมายของแต่ละธุรกิจ ตัวอย่างเช่น เราไม่สามารถสรุปได้ว่ายอดขายของบริษัทที่เพิ่มขึ้นเป็นสัญญาณที่ดีเสมอไป หากไม่ได้เปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาด เช่น หากยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้น 5% แต่คู่แข่งรายอื่นเพิ่มขึ้น 10% นั่นอาจหมายความว่าธุรกิจกำลังเสียส่วนแบ่งตลาดโดยไม่รู้ตัว หากต้องการวัดผลยอดขายจากโฆษณา Cost per Lead อาจไม่จำเป็นต้องถูกที่สุด ถ้าหาก Cost per Lead ที่สูงขึ้น ได้มาซึ่งกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกว่า และสามารถสร้างรายได้ที่มากกว่า จะเห็นได้ว่าเป้าหมายสูงสุดของบริษัทส่วนใหญ่คือยอดขายจากการลงทุนทางการตลาดที่คุ้มค่า ตัวอย่างเช่น แม้ว่าการได้ยอดขาย 100 ล้านบาทจะเป็นตัวเลขที่ดูดี แต่หากพิจารณาถึงต้นทุนที่ลงทุนไป 90 ล้านบาท อาจพบว่าผลตอบแทนที่ได้ไม่คุ้มค่า ดังนั้น การวัดผลตอบแทนจากการลงทุนทางการตลาด (Marketing ROI) จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินประสิทธิภาพของการลงทุนทางการตลาด Marketing ROI แตกต่างจาก ROAS (Return on Ad Spend) ตรงที่ ROAS คำนวณเฉพาะผลตอบแทนจากค่าโฆษณา โดยไม่ได้รวมต้นทุนด้านการตลาดอื่น ๆ เช่น ค่าใช้จ่ายในการทำโปรโมชั่น หรือค่าใช่จ่ายในการออกบูธ โดย Marketing ROI มีสูตรในการคำนวนคือ Marketing ROI = (Revenue - Marketing Investment) / Marketing Investment ดังนั้นหากเราต้องการเพิ่ม Marketing ROI สิ่งสำคัญที่เราต้องโฟกัสคือ การเพิ่มยอดขาย และการลดต้นทุนทางการตลาด การเพิ่มยอดขายสามารถทำได้หลายวิธี โดยมี Framework ต่าง ๆ ที่ช่วยกำหนดแนวทาง เช่น: Product Life Cycle – เข้าใจว่าสินค้าอยู่ในช่วงใดของวงจรผลิตภัณฑ์ และวิธีที่จะยืดอายุวงจร Customer Adoption Curve – วิเคราะห์พฤติกรรมการยอมรับในผลิตภัณฑ์ของลูกค้า BCG Matrix – วางแผนการลงทุนในแต่ละธุรกิจ Ansoff Matrix – วางกลยุทธ์การเติบโตทางธุรกิจ การลดต้นทุนทางการตลาดการลดต้นทุนไม่ได้หมายถึงการลดงบประมาณ แต่คือ การใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอาศัย Framework เช่น: Customer Lifetime Value (CLV) – วิเคราะห์มูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้า เพื่อเลือกลงทุนกับลูกค้าที่สร้างผลตอบแทนสูง Customer Journey Mapping – ทำความเข้าใจเส้นทางของลูกค้าเพื่อสื่อสารได้ถูกที่ ถูกเวลา และถูกกลุ่มเป้าหมาย หนึ่งในไฮไลท์สำคัญของงานคือการเสวนาพิเศษจาก 2 ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองท่านได้ร่วมแบ่งปันแนวคิดเกี่ยวกับ "การตัดสินใจในสถานการณ์ที่ข้อมูลไม่สมบูรณ์" ซึ่งเป็นปัญหาที่นักการตลาดต้องเผชิญ โดยให้ข้อคิดสำคัญว่า: ข้อมูลไม่เคยสมบูรณ์ 100% นักการตลาดต้อง "เรียนรู้จากสิ่งที่มี และตัดสินใจอย่างมีเหตุผล" การใช้เครื่องมือทางการตลาด เช่น A/B Testing, Scenario Planning และ Predictive Analytics สามารถช่วยให้การตัดสินใจมีความแม่นยำยิ่งขึ้น มุมมองจากคุณบังอร สุวรรณมงคล MD & Founder, Hummingbirds Consulting หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกพูดถึงในงาน คือ การวัดผลเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากเราไม่เข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง เพราะข้อมูลของลูกค้าเปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็ง ที่มีสองด้าน ด้านที่โผล่พ้นน้ำ คือ ข้อมูลเชิงตัวเลข (Quantitative Data) ซึ่งเป็นสิ่งที่เราวัดผลได้จากเครื่องมือต่าง ๆ เช่น Performance Metrics, Satisfaction Score หรือ Social Listening ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้เราทราบว่า "เกิดอะไรขึ้น" กับธุรกิจ แต่ไม่รู้ว่า “ทำไม” จึงเกิดสิ่งเหล่านั้น ด้านที่อยู่ใต้น้ำ คือ ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) ซึ่งเป็นเหตุผลที่อยู่เบื้องหลัง เช่น ลูกค้าคิดอย่างไร ต้องการอะไร อะไรเป็นแรงจูงใจ หรือให้คุณค่ากับอะไร ต้องอาศัย Marketing Research เพื่อค้นหา Insight ที่แท้จริง และสร้าง Winning Strategy ที่เหมาะสม มุมมองจากผศ.ปิติพีร์ รวมเมฆ CEO & Co-Founder, AIMBITION CORP COMPANY LIMITED การวัดผลไม่ได้จำกัดแค่ในแง่มุมการตลาดเท่านั้น แต่ครอบคลุมไปถึงทุกส่วนที่ส่งผลต่อการเติบโตขององค์กร เช่น: การตลาด (Marketing) เช่น Conversion Rate, Customer Acquisition Cost (CAC), Customer Lifetime Value (CLV) การเงิน (Financial) เช่น Revenue Growth, Profit Margin, Cash Flow การดำเนินงาน (Operational) เช่น Lead Time, Cycle Time ทรัพยากรบุคคลและองค์กร (Employee & Firm Value) เช่น Employee Lifetime Value (ELV) และ Firm Lifetime Value (FLV) แม้ว่าทุกอย่างสามารถวัดผลได้ แต่คำถามสำคัญคือ "เราควรวัดผลอะไร?" และตัดสินใจเลือกวัดเฉพาะสิ่งที่สามารถนำไปพัฒนาองค์กรได้จริง และคุ้มค่าต่อเวลาและงบประมาณ งาน The Future of Marketing ROI 2025 ได้ตอกย้ำถึงความสำคัญของแนวคิดที่ว่า “การพัฒนาการทำการตลาดที่ดีจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มีการวัดผลที่ถูกต้อง” ซึ่งหมายความว่า ทุกการลงทุนด้านการตลาดจำเป็นต้องสามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม และข้อมูลที่ได้รับจากการวัดผลนั้นจะต้องถูกนำไปใช้ในการปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การตลาดที่ดีไม่ควรเป็นเพียงการสร้างภาพลักษณ์หรือกระแสเพียงชั่วคราว แต่ต้องสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า รวมถึงสร้างการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว Way Maker ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจในการพัฒนาความรู้และทักษะด้านการตลาดให้ทันต่อยุคดิจิทัล ติดตามคอร์สเรียนและเวิร์กช็อปที่ครอบคลุมทั้งแนวคิด Marketing ROI เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูล และกลยุทธ์การตลาดที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง อีกทั้งยังสามารถติดตามอัปเดตเทรนด์ใหม่ ๆ ในวงการการตลาดดิจิทัล เพื่อให้สามารถแข่งขันและเติบโตในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากต้องการเริ่มต้นทำการตลาดที่ให้ผลตอบแทนทางการตลาดที่คุ้มค่า Way Maker เป็นที่ปรึกษาการตลาดที่มีประสบการณ์ดูแลธุรกิจหลายอุตสาหกรรมกว่า 140 แห่ง เราพร้อมดูแลและลงลึกตั้งแต่ขั้นตอนการวางกลยุทธ์ ไปจนถึงการจัดวางระบบวัดให้ได้ผลกำไร เพิ่มโอกาสเติบโตของธุรกิจคุณ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Way Maker ได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้เว็บไซต์: www.waymaker.co.thFacebook: Way MakerLINE: @WayMakerโทรศัพท์: 066-124-3562