วัดอินทาราม จัดพิธีบรรพชาอุปสมบทหมู่ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9
เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2563 พระครูพิศิษฏ์ประชานาถ,ดร.(หลวงพ่อแดงนันทิโย) เจ้าอาวาสวัดอินทาราม ต.เหมืองใหม่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ร่วมกับคณะสงฆ์ และศิษยานุศิษย์จัดพิธี บรรพชาอุปสมบทหมู่ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมีนาคที่เข้าร่วมบรรพชาอุปสมบทรวม 3 ราย ซึ่งทางวัดอินทารามคัดเลือกตามคุณสมบัติ เช่น 1.เป็นสุภาพชนที่มีความประพฤติดีประพฤติชอบ ไม่มีความประพฤติเสียหาย เช่นติดสุราหรือยาเสพติดให้โทษเป็นต้น และไม่เป็นคนจรจัด, 2.มีความรู้อ่านและเขียนหนังสือไทยได้,3.ไม่เป็นผู้มีทิฏฐิวิบัติ,4.ไม่เป็นคนล้มละลาย หรือมีหนี้สินผูกพัน,5.เป็นผู้ปราศจากบรรพชาโทษ และมีร่างกายสมบูรณ์ อาจบำเพ็ญสมณกิจได้ ไม่เป็นคนชราไร้ความสามารถหรือทุพพลภาพ หรือพิกลพิการ,มีสมณบริขารครบถ้วนและถูกต้องตามพระวินัย,เป็นผู้สามารถกล่าวคำขอบรรพชาอุปสมบทได้ด้วยตนเอง และถูกต้องไม่วิบัติ เป็นต้น
จากนั้นพุทธศาสนิกชนได้ร่วมกันแห่นาคทั้ง 3 ราย ไปรอบๆอุโบสถหินอ่อน ใหญ่ที่สุดในจังหวัดสมุทรสงคราม 3 รอบ พร้อมท่องบทอิติปิโส ในรอบแรก, บทสวากขาโต ในรอบที่ 2 และบทสุปะฏิปันโน ในรอบที่ 3 ถวายเป็นพุทธบูชา พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อย่างสงบไม่มีแตรวงหรือดนตรีแต่อย่างใด ก่อนที่พระครูพิศิษฏ์ประชานาถ,ดร. เป็นพระอุปัชฌา ทำพิธีบรรพชาอุปสมบท ให้กับนาคทั้ง 3 ราย เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เป็นเป็นภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
พระครูพิศิษฏ์ประชานาถ,ดร. เปิดเผยว่า อานิสงส์ของการบวช ย่อมทำให้ทุกข์เก่าหมดไป ทุกข์ใหม่ไม่เกิดขึ้น คือ หมดกิเลส เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐของมนุษย์ทั้งหลาย ที่ได้ทำบุญให้ทาน และถวายสักการะแก่ท่าน, ทำให้ตัวเองเป็นผู้มีความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ, จะได้น้ำใจงาม ที่เรียกว่า เป็นคนมีน้ำใจ, เป็นผู้มีปัญญา ส่วนอานิสงส์ที่เกิดแก่ผู้อื่น ช่วยให้บิดามารดาได้มีโอกาสใกล้ชิดพระศาสนา เช่น ได้ฟังธรรม เป็นต้น เพราะต้องไปเยี่ยมเยียนผู้บวชอยู่เสมอ แม้สึกออกไปแล้ว ลูกเมียก็เป็นสุข เพราะได้นิสัยดี ๆ ที่เกิดจากการขัดเกลาติดตัวไป เมื่อก่อนเคยขี้เหล้าเมายา เมาขึ้นมาก็อาละวาด พอบวชแล้วสึกออกไปนิสัยดีขึ้น ประเทศชาติได้พลเมืองที่ดีเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นผู้สืบทอดอายุพระพุทธศาสนา ดังนั้นผู้ที่บวชก็หวังที่จะพ้นทุกข์ ตามหลักธรรมพระพุทธศาสนา ดังคำกล่าวขอบวชว่า "สัพพะทุกขะ นิสสะระณะ นิพพานะ"